"เรามีความชำนาญเฉพาะทางด้านการนวดจัดกระดูก (Chiropractic) , เชี่ยวชาญเรื่องกระดูก เส้นประสาท เส้นเอ็น ข้อต่อ และ กล้ามเนื้อ บรรเทาอาการต่างๆ ที่เกิดจากกระดูกทับเส้นประสาท แนวกระดูกผิดรูป อยู่ในตำแหน่งที่ไม่สมดุล ซึ่งเป็นสาเหตุของอาการปวด ตามที่ต่างๆ ของร่างกาย การนวดจัดกระดูกเป็นการนวดเพื่อช่วยให้กล้ามเนื้อผ่อนคลาย ไม่ถูกกดทับ ซึ่งเป็นนวดที่บรรเทาอาการปวดที่ปลอดภัย โดยไม่ต้องฉีดยา ไม่ต้องทานยา และแก้ปัญหาอาการปวดได้ตรงจุด ตามแบบฉบับของประเทศจีนที่สั่งสมเทคนิคการนวดจัดกระดูกถ่ายทอดตั้งแต่สมัยโบราณจนถึงปัจจุบัน

ปวดศรีษะ เวียนศรีษะ

ปวดศีรษะ หรือปวดหัว (Headache) เป็นอาการไม่ใช่โรค โดยเป็นอาการที่พบได้บ่อยมากที่สุด พบได้ในชีวิตประจำวันเกือบทุกวัน และในคนทุกเพศทุกวัย โดย 2 ใน 3 ของเด็กทั้งหมด และ 9 ใน 10 ของผู้ใหญ่ทั้งหมด เคยมีอาการปวดศีรษะ ผู้หญิงและผู้ชายมีโอกาสเกิดอาการนี้ได้เท่าๆกัน

อาการปวดศีรษะมีได้ตั้งแต่ปวดเพียงตำแหน่งใดตำแหน่งหนึ่งของศีรษะ หรือปวดทั้งศีรษะ หรือปวดร้าวไปยังอวัยวะอื่นๆในศีรษะเช่น ตาหรือต้นคอ เป็นต้น ทั้งนี้ขึ้นกับสาเหตุซึ่งรวมถึงความรุนแรงของอาการด้วย อาการปวดหัวแบ่งออกได้ถึง 14 ชนิด ดังนี้


1. อาการปวดหัวชนิดรีบาวน์ด (Rebound headache)

* อาการ

ปวดศีรษะเกือบทุกวัน โดยเฉพาะหลังตื่นนอน อาจปวดที่บริเวณขมับหรือทั้งศีรษะเลยก็ได้ ส่วนความรุนแรงแล้วแต่อาการของแต่ละคน

* สาเหตุ

อาการปวดหัวชนิดรีบาวน์ดเกิดจากการรับประทานยาแก้ปวดปริมาณมากเกินไป โดยเฉพาะยาแก้ปวดจำพวกอะซีตะมิโนเฟน (Acetaminophen) หรือไทลินอล, แอสไพริน และไอบูโพรเฟนเกิน 2 ครั้งต่อสัปดาห์ รวมทั้งยารักษาโรคไมเกรน (Triptans) เกิน 10 วันต่อเดือนด้วย ซึ่งเมื่อเรากินยาแก้ปวดติดต่อกันนาน ๆ จนร่างกายเกิดความเคยชิน อาการปวดก็จะถูกฤทธิ์ยากดไว้ ทว่าพอฤทธิ์ยาในร่างกายหมดไป อาการปวดหัวฟื้นกลับมาแสดงอาการอีกครั้งในทันที

* วิธีรักษา

อาการปวดหัวชนิดนี้ทำได้เพียงแค่ปรึกษาแพทย์ เพื่อให้แพทย์ปรับสมดุลปริมาณยาในร่างกายของเราให้เข้าที่เข้าทาง


2. อาการปวดหัวจากความเครียด (Tension headache)

* อาการ

จะมีความรู้สึกปวดหนัก ๆ ที่ขมับทั้งสองข้าง เหมือนมีแรงดันจากภายในแต่ไม่ปวดแบบตุบ ๆ อาจเกิดตั้งแต่ระดับน้อย ปานกลาง และมาก หรือบางรายอาจรู้สึกปวดที่ต้นคอ หลัง และไหล่ร่วมด้วย

* สาเหตุ

เกิดจากความเครียด ความวิตกกังวล ความรู้สึกกดดันในบางเรื่องจนทำให้กล้ามเนื้อในร่างกายหดเกร็ง หรือแม้แต่การนั่งและนอนผิดท่า การใช้สายตามากเกินไป และแม้แต่อยู่ในห้องที่มีอุณหภูมิเย็นจัด ก็เป็นสาเหตุให้กล้ามเนื้อรอบคอเกร็งจนกระทบกับสมอง นำไปสู่อาการปวดหัวได้เช่นกัน

* วิธีรักษา

ในเบื้องต้นสามารถรักษาโดยใช้ยาแก้ปวดจำพวกไทลินอล, แอสไพริน และไอบูโพรเฟนได้ หรือจะไปนวดคลายกล้ามเนื้อก็ได้เช่นกัน แต่ทั้งนี้ปริมาณยาแก้ปวดที่จะกินควรต้องได้รับคำแนะนำจากแพทย์และเภสัชกรด้วยนะคะ


3. อาการปวดหัวอันเนื่องมาจากปัญหาสุขภาพฟัน (Dental headache)

* อาการ

ปวดศีรษะได้ทั้งสองข้าง หรือข้างเดียว แต่อาการที่พอจะสังเกตได้ก็คือลักษณะอาการปวดจะเหมือนมีอะไรมารัดรึงที่หัว ปวดรอบ ๆ ลูกตา ปวดร้าวแนวกรามและขากรรไกร บางรายอาจมีอาการกัดฟันในตอนกลางคืนร่วมด้วย และสัมผัสได้ถึงอาการปวดศีรษะเมื่อเอามือไปแตะที่หน้าผาก พร้อมทั้งเมื่ออ้าปากอาจมีเสียงดังกึ้กให้ได้ยินเบา ๆ

* สาเหตุ

เกิดจากปัญหาความผิดปกติของข้อขมับและขากรรไกรล่างที่ทำให้การสบฟันผิดปกติไปด้วย จนเป็นเหตุให้กล้ามเนื้อที่ควรได้รับการพักผ่อนต้องทำงานหนักเพิ่มขึ้นหลายเท่า นานเข้าจึงส่งสัญญาณความเมื่อยล้ามาเป็นอาการปวดหัว

* วิธีรักษา

ทางเดียวที่จะลดอาการปวดหัวจากสาเหตุนี้ได้ คือ ต้องปรึกษาทันตแพทย์ เพื่อให้แพทย์วินิจฉัยอาการผิดปกติและหาทางรักษาคุณต่อไป ซึ่งอาจจะต้องเอกซเรย์ข้อต่อขากรรไกร และสำรวจความผิดปกติของสัมผัสฟันที่มีปัญหาอยู่ด้วย


4. อาการปวดหัวชนิดคลัสเตอร์ (Cluster Headache)

* อาการ

อาการปวดศีรษะในแต่ละครั้งจะเป็นช่วงเวลาไม่นาน ราว 5 นาที หรือสูงสุด 3 ชั่วโมง แต่จะรู้สึกปวดหัวแบบทรมานเหมือนจะตายเลยทีเดียว และอาการปวดจะเกิดขึ้นบ่อยแต่เป็นเวลาที่แน่นอน และมักจะมีอาการน้ำตาไหลข้างเดียวและมีเส้นเลือดแตกในตา ทำให้เกิดอาการตาแดง

* สาเหตุ

เกิดจากความผิดปกติของต่อมไพเนียลและนิวเคลียส (Nucleus) ของเซลล์ประสาทสมองที่ 5 ซึ่งทำให้ระบบการส่งฮอร์โมนและสารสื่อประสาทปรวนแปร ส่งผลกระทบให้ประสาทสัมผัสอัตโนมัติที่ควบคุมการทำงานของต่อมน้ำลาย ต่อมน้ำตา และน้ำมูกทำงานผิดปกติ รวมทั้งปล่อยสารเคมีบางชนิดไปที่เยื่อหุ้มสมองชั้นนอก (Dura) ทำให้เกิดอาการปวดหัวในเวลาต่อมา

* วิธีรักษา

อาการปวดหัวชนิดคลัสเตอร์สามารถรักษาและบรรเทาอาการได้โดยใช้ยากลุ่มทริปเทนต์ (Triptan) หรือยารักษาโรคไมเกรน และการสูดดมออกซิเจน ขนาด 10 ลิตรผ่านหน้ากากให้ออกซิเจนก็ได้


5. อาการปวดหัวไมเกรน (Migraine)

* อาการ

มีอาการปวดหัวข้างเดียว ปวดแบบหนัก ๆ ในรายที่อาการหนักมากอาจวียนศีรษะและอาเจียนร่วมด้วย หรือบางรายอาจมีอาการปวดหัวทั้งสองข้าง แต่ปวดตุบ ๆ ติดกันต่อเนื่องเป็นเวลานาน ทั้งนี้อาการปวดหัวไมเกรนนับเป็นโรคปวดหัวเรื้อรังชนิดหนึ่ง

* สาเหตุ

สาเหตุของโรคไมเกรนยังไม่ทราบแน่ชัด แต่มักจะเอนเอียงไปทางความผิดปกติชั่วคราวของหลอดเลือดสมองและสารเคมีในสมอง ซึ่งนอกจากนี้ก็ยังเป็นผลพวงจากการสะสมความคเรียด พฤติกรรมการรับประทานอาหาร และการพักผ่อนที่ไม่เพียงพอติดกันเป็นเวลานานด้วยนะคะ

* วิธีรักษา

ในเบื้องต้นสามารรถรับประทานยาบรรเทาอาการปวดได้ โดยใช้ยาแก้ปวดจำพวกอะซีตะมิโนเฟน (Acetaminophen), ไอบูโพรเฟน และทริปเทนต์ (Triptan) หรือยารักษาโรคไมเกรน แต่อย่างไรก็ดีคววรเข้ารับการรักษาจากแพทย์อีกทางหนึ่ง


6. อาการปวดหัวจากฤทธิ์คาเฟอีน (Caffeine headache)

* อาการ

มีอาการปวดหัวตื้อ ๆ หนักหัวเหมือนร่างกายพักผ่อนไม่พอ บางรายอาจมีอาการเวียนศีรษะเพิ่มด้วยอีกอย่าง หรือไม่ก็รู้สึกปวดกระบอกตาตุบ ๆ ตลอดเวลา

* สาเหตุ

ชื่อก็บอกชัดอยู่แล้วนะคะว่าสาเหตุของอาการปวดหัวเกิดขึ้นเพราะฤทธิ์ของคาเฟอีน ซึ่งก็ได้มาจากกาแฟที่คุณ ๆ ชอบกินนี่ล่ะ โดยเฉพาะใครที่กินกาแฟเกินวันละ 5 แก้ว อาการปวดหัวชนิดนี้จะตามมาคุกคามคุณในอีกไม่ช้า

* วิธีรักษา

นอกจากการรับประทานยาแก้ปวดทั่วไป อีกทางหนึ่งที่ช่วยบรรเทาอาการปวดศีรษะได้ก็คือการลดปริมาณคาเฟอีน นั่นก็หมายความว่าต้องค่อย ๆ ลดปริมาณกาแฟในแต่ละวันให้เหลือแค่ 2 แก้วต่อวันเป็นอย่างมาก


7. อาการปวดหัวจากการมีเพศสัมพันธ์ (Orgasm headaches)

* อาการ

ปวดจี๊ดที่ศีรษะอย่างฉับพลัน มักจะเกิดในช่วงใกล้ถึงจุดสุดยอดหรือในบางรายอาจปวดก่อนและหลังมีเพศ สัมพันธ์ก็เป็นได้ โดยมีแนวโน้มเกิดกับผู้ชายมากกว่าผู้หญิง ซึ่งอาการปวดจะคงตัวอยู่ได้นาน 1 ชั่วโมงถึง 1 วันเลยทีเดียว

* สาเหตุ

ยังไม่มีหลักฐานที่แน่ชัดเกี่ยวกับสาเหตุของอาการปวดศีรษะชนิดนี้ แต่ที่จับสังเกตได้คืออาการปวดจะหายไปเองโดยอัตโนมัติ และอาจไม่ได้เกิดขึ้นทุกครั้งที่มีเพศสัมพันธ์

* วิธีรักษา

เนื่องจากยังไม่สามารถทราบสาเหตุของอาการได้ ในเบื้องต้นจึงทำได้เพียงกินยาบรรเทาอาการปวดไปก่อน และถ้าต้องการป้องกัน แพทย์ผู้เชี่ยวชาญก็ระบุให้กินยาแก้ปวดก่อนมีเพศสัมพันธ์ราว 1-2 ชั่วโมง พร้อมกันนั้นก็พยายามอย่าเร่งจังหวะการเคลื่อนไหวรุนแรงมากนัก


8. อาการปวดหัวทุกเช้า (Early morning headaches)

* อาการ

มีอาการปวดหัวตุบ ๆ ทุกเช้าหลังตื่นนอน บางรายจะรู้สึกหนักหัวเหมือนลุกไม่ไหว

* สาเหตุ

สาเหตุของโรคค่อนข้างถูกพูดถึงอย่างกว้าง ๆ เพราะอาจจะเป็นหนึ่งสัญญาณของโรคไมเกรน โรคเครียด โรคปวดศีรษะเพราะปัญหาสุขภาพฟัน หรือการพักผ่อนไม่เพียงพอก็ได้

* วิธีรักษา

ทางที่ดีควรสังเกตอาการของตัวเองให้แน่ชัด ถ้าปวดหัวเป็นเวลาต้องจำเวลาไปบอกแพทย์ด้วย เพื่อเป็นข้อมูลให้แพทย์ได้วินิจฉัยได้ตรงจุดมากขึ้น และหากคุณมีอาการปวดที่รุนแรง กินยาแก้ปวดก็ไม่ช่วยอะไร อาจจะต้องเข้ารับการสแกนสมองเพื่อค้นหาว่ามีเนื้องอกในสมองด้วยหรือเปล่า


9. อาการปวดหัวจากไซนัสอักเสบ (Sinus headaches)

* อาการ

อาการปวดหัวจากไซนัสอักเสบมีความคล้ายคลึงกับอาการหวัดทั่วไปและอาการปวดหัวไมเกรนมากจนแทบแยกไม่ออก แต่สำหรับคนที่เป็นโรคไซนัสอยู่แล้วอาจคาดเดาไปก่อนได้ว่า ตัวเองน่าจะมีอาการปวดหัวจากผลกระทบของโรคไซนัสอักเสบ ซึ่งโดยส่วนมากจะรู้สึกปวดหน่วง ๆ บริเวณหน้าผาก ร้อนผ่าวกระบอกตา ลามไปถึงโหนกแก้มเลยทีเดียว

* สาเหตุ

เกิดจากการอักเสบบริเวณเยื่อโพรงจมูก ซึ่งส่งผลกระทบให้กล้ามเนื้อส่วนนั้นหดเกร็งจนอาจรู้สึกปวดศีรษะได้

* วิธีรักษา

โดยปกติแล้วหากรักษาโรคไซนัสให้หายเป็นปกติได้ อาการปวดหัวก็จะหายไปพร้อมกัน หรือบางรายที่อาการไซนัสไม่รุนแรง ร่างกายจะสามารถรักษาตัวเองได้โดยไม่ต้องพึ่งยาใด ๆ


10. อาการปวดหัวจากการดื่มอาหารเย็นจัด (Ice cream headache)

* อาการ

ปวดจี๊ดขึ้นสมองโดยทันทีเมื่อกินอาหารเย็นจัด เช่น ไอศกรีมหรือน้ำเย็นเจี๊ยบ ส่วนมากมักจะรู้สึกเจ็บจี๊ดบริเวณขมับ หรือบางรายอาจปวดร้าวไปทั้งหัว และในผู้ป่วยไมเกรนจะรู้สึกถึงความเจ็บปวดได้เร็วและรุนแรงกว่าในคนปกติ

* สาเหตุ

ในร่างกายของเรามีกลไกการป้องกันสิ่งแปลกปลอมโดยอัตโนมัติ ซึ่งการรับประทานไอศกรีมเย็นจัดในขณะที่ร่างกายมีอุณหภูมิอบอุ่นก็ไม่ใช่ข้อยกเว้น ดังนั้นเมื่อเรากินไอศกรีมเย็นจัดเข้าไป เส้นเลือดบริเวณเพดานปากก็จะแสดงปฏิกิยาโดยทันที เพื่อป้องกันไม่ให้ความเย็นจัดกระทบไปถึงสมอง เป็นสาเหตุให้เส้นเลือดที่ต่อตรงไปยังสมองสูบฉีดเลือดอย่างเร็วจนทำให้เกิดอาการปวดจี๊ดที่สมองดังกล่าว

* วิธีรักษา

เบื้องต้นให้หยุดรับประทานไอศกรีมก่อน จากนั้นดื่มน้ำอุ่นตามเพื่อคลายเส้นเลือดที่หดเกร็ง อีกทั้งค่อย ๆ เล็มไอศกรีมอย่างช้า ๆ และพักไอศกรีมไว้ที่ลิ้นสักพักเพื่อให้ร่างกายได้ปรับอุณหภูมิก่อน ซึ่งก็สามารถช่วยบรรเทาและป้องกันอาการปวดหัวได้เหมือนกัน


11. อาการปวดหัวเรื้อรัง (Chronic daily headache)

* อาการ

ปวดหัวติดต่อกันมากกว่า 15 วันต่อเดือน และปวดอย่างนี้เรื่อย ๆ เกิน 3 เดือน ในบางรายอาจมีอาการไข้และปวดเมื่อยบริเวณคอและไหล่ร่วมด้วย

* สาเหตุ

สาเหตุของอาการปวดหัวเรื้อรังอาจเกิดจากพฤติกรรมกินยาแก้ปวดติดต่อกันนานเกินไป ทำให้ร่างกายได้รับยาปริมาณมากเกิน พร้อมกันนั้นอาจวินิจฉัยได้ว่าเกิดจากโรคไมเกรนและเนื้องอกในสมองได้อีกทางหนึ่งด้วย

* วิธีรักษา

เริ่มแรกควรหยุดใช้ยาแก้ปวดที่กินเป็นประจำก่อน จากนั้นอาจรักษาโดยใช้ยาแก้อาการเศร้าซึม ยากลุ่มเบต้าบล็อกเกอร์ เช่น อะทีโนลอล (Atenolol), เมโทโพรลอล (Metoprolol), โพรพาโนลอล (Propanolol) ซึ่งเป็นยาที่แพทย์ใช้รักษาโรคความดันโลหิตสูงและโรคไมเกรน หรือยาแก้อาการชัก เช่น กาบาเพนติน (Gabapentin), โทพิราเมต (Topiramate) แม้กระทั่งยาแก้ปวดอย่าง นาโพรเซน (Naproxen) และการทำโบท็อกซ์บรรเทาอาการปวด


12. อาการปวดหัวในช่วงรอบเดือน (Menstrual headaches)

* อาการ

อาการปวดหัวชนิดนี้สงวนสิทธิ์เพื่อผู้หญิงโดยเฉพาะ เนื่องจากเป็นอาการปวดศีรษะในช่วงระหว่างมีรอบเดือน จะรู้สึกเหมือนเป็นไข้ทับระดู เป็นหนึ่งสัญญาณของอาการ PMS โดยอาการปวดหัวชนิดนี้จัดว่าเป็นไมเกรนอย่างหนึ่ง ซึ่งอาจเกิดก่อนมีประจำเดือนหรือหลังเป็นประจำเดือนประมาณ 2-3 วัน

* สาเหตุ

เกิดจากระดับฮอร์โมนเอสโทรเจนที่พุ่งสูงขึ้นอย่างฉับพลัน เป็นเหตุให้เกิดอาการ PMS ทั้งปวดท้องน้อย ปวดหลัง ปวดเมื่อยตามร่างกาย และบางรายอาจปวดหัวร่วมด้วย

* วิธีรักษา

แพทย์แนะนำให้ผู้หญิงที่มักเกิดอาการ PMS อย่างรุนแรงทุกครั้งที่เป็นประจำเดือนรับประทานแมกนีเซียมเยอะ ๆ โดยอาจจะเลือกรับประทานแมกนีเซียมจากอาหาร เช่น กล้วย, อะโวคาโด, ถั่ว, เม็ดมะม่วง, โยเกิร์ต, เต้าหู้, ปลาทูน่า เป็นต้น หรือใครจะเลือกกินหาแมกนีเซียมในรูปแบบวิตามินก็ได้เช่นกัน


13. อาการปวดหัววันหยุดสุดสัปดาห์ (Weekend headache)

* อาการ

ปวดหน่วง ๆ ที่ศีรษะหลังจากลุกจากที่นอน อาจปวดยาวไปทั้งวัน และมักจะเกิดในช่วงวันหยุดสุดสัปดาห์

* สาเหตุ

อาจเกิดขึ้นได้จากทั้งความเครียดที่สะสมมาตลอดสัปดาห์ พฤติกรรมการนอนดึกตื่นสาย รวมทั้งผลพวงจากคาเฟอีนที่คั่งค้างในร่างกายด้วย

* วิธีรักษา

การรักษาอาการปวดหัวในช่วงวันหยุดไม่จำเป็นต้องใช้ยาแก้ปวดใด ๆ เพียงแค่นอนหลับพักผ่อนในเวลาปกติเหมือนทุกวัน และพยายามอย่าดื่มชากาแฟเยอะเท่านั้น


14. อาการปวดหัวอย่างรุนแรงโดยฉับพลัน (Emergency headache)

* อาการ

ปวดหัวอย่างรุนแรงโดยฉับพลัน หน้ามืด และรู้สึกปวดหัวเหมือนหัวจะระเบิด บางรายมีไข้และความดันโลหิตสูงร่วมด้วย หรืออาการปวดเกิดขึ้นหลังจากได้รับแรงกระแทกบริเวณศีรษะ รวมทั้งภายหลังเคลื่อนไหวศีรษะเร็วและแรง อีกทั้งยังอาจปวดคอ เกิดอาการชาที่ใบหน้า ลิ้น และปาก จนส่งผลกระทบกับการพูด พร้อมทั้งทำให้กล้ามเนื้ออ่อนแรง

* สาเหตุ

อาการปวดหัวอย่างรุนแรงไม่ใช่โรคเรื้อรัง แต่เป็นอาการปวดหัวที่เกิดจากความเครียดอย่างสูง ซึ่งมีผลต่อระดับความดันโลหิตและการสูบฉีดเลือดไปเลี้ยงสมอง รวมทั้งอาจมีสาเหตุจากแรงกระแทกที่ค่อนข้างรุนแรงบริเวณศีรษะ และเนื้องอกที่สมองก็ได้

* วิธีรักษา

เมื่อเกิดอาการปวดหัวอย่างรุนแรงฉับพลัน วิธีที่ดีที่สุดคือรีบพาผู้ป่วยไปโรงพยาบาลโดยด่วน โดยเฉพาะคนไข้ที่หมดสติไปแล้วด้วย


ป้องกันการปวดหัวได้ดีที่สุด คือการ “ดูแลตัวเอง”

หมั่นสังเกตตัวเองว่าอะไรคือสิ่งกระตุ้นให้เกิดอาการปวดหัว เพราะสิ่งกระตุ้นของแต่ละคนก็จะแตกต่างกันไป เมื่อรู้แล้วก็ควรหลีกเลี่ยงสิ่งเหล่านั้น และหากพบว่าอาการปวดหัวที่เกิดขึ้นนั้นผิดปกติไปจากการปวดหัวทั่วไป ก็ควรรีบปรึกษาแพทย์เพื่อทำการตรวจรักษา อย่าปล่อยนานจนทุกอย่างสายเกินจะแก้ไข


ขอบคุณที่มา http://haamor.com/th/อาการปวดศรีษะ/

ขอบคุณที่มา https://health.kapook.com/ view93918.html